ดีเดย์ภาษีอีเซอร์วิส 1 ก.ย. หวังดึงยักษ์แพลตฟอร์มข้ามชาติเข้าระบบ คาดปีแรกโกยรายได้ 5,000 ล้าน ยักษ์ต่างชาติทยอยขึ้นทะเบียนแล้วกว่า 60 ราย “เฟซบุ๊ก” แจ้งลูกค้าที่ลงโฆษณาประเทศปลายทางเป็น “ไทย” ต้องจ่ายแวตเพิ่ม 7% ขณะที่ “Viu” วิดีโอสตรีมมิ่งเกาหลีกัดฟันยอมรับส่วนต่างแทนลูกค้า ฟากมีเดียเอเยนซี่หวั่น “เอสเอ็มอี-พ่อค้าแม่ค้าออนไลน์” ต้นทุนโฆษณาเพิ่ม
นายอาคม เติมพิทยาไพสิฐ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง เปิดเผยว่า ภาษีอีเซอร์วิส (e-Service) มีการดำเนินการในขั้นตอนของกฎหมายมากว่า 2 ปี จนได้รับการอนุมัติเมื่อเดือน ก.พ. 2564 ที่ผ่านมา และให้เริ่มมีผลบังคับใช้ในวันที่ 1 ก.ย. โดยกฎกระทรวงกำหนดให้ผู้ประกอบการต่างประเทศที่ให้บริการทางอิเล็กทรอนิกส์แก่ผู้ใช้บริการที่ไม่ได้จดทะเบียนภาษีมูลค่าเพิ่มในประเทศไทย
และมีรายได้จากการให้บริการเกิน 1.8 ล้านบาทต้องจดทะเบียนภาษีมูลค่าเพิ่มผ่านระบบงานภาษีมูลค่าเพิ่มสำหรับการให้บริการทางอิเล็กทรอนิกส์จากต่างประเทศ (VAT for Electronic Service : VES) บนเว็บไซต์ของกรมสรรพากร พร้อมกับยื่นแบบแสดงรายการภาษีมูลค่าเพิ่มVAT 7% และชำระภาษีเป็นรายเดือนภายในวันที่ 23 ต.ค.นี้
ปัจจุบันมีผู้ประกอบการต่างประเทศลงทะเบียนเพื่อขอจดทะเบียนภาษีมูลค่าเพิ่มบนเว็บไซต์กรมสรรพากรแล้วกว่า 61 ราย ซึ่งไทยเป็น 1 ใน 60 กว่าประเทศทั่วโลกที่เริ่มดำเนินการเก็บภาษีประเภทดังกล่าว
สำหรับธุรกิจที่ต้องมาจดทะเบียน และดำเนินการทางภาษี แบ่งออกเป็น 5 กลุ่มหลัก ประกอบด้วย 1.ธุรกิจให้บริการแพลตฟอร์มสำหรับขายของออนไลน์ 2.ธุรกิจให้บริการโฆษณาออนไลน์
3.ธุรกิจให้บริการจองโรงแรมที่พักและการเดินทาง 4.ธุรกิจให้บริการเป็นตัวกลางระหว่างผู้ซื้อผู้ขาย และ 5.ธุรกิจให้บริการสมาชิกดูหนังฟังเพลงออนไลน์ เกม และแอปพลิเคชั่นต่าง ๆ
นายอาคมกล่าวว่า ภาษี e-Service ช่วยสร้างความเป็นธรรมในการแข่งขันระหว่างผู้ประกอบการไทยกับผู้ให้บริการแพลตฟอร์มต่างชาติ โดยที่ผ่านมาผู้ประกอบการไทยที่ทำธุรกิจบริการออนไลน์ต้องนำส่งภาษีมูลค่าเพิ่ม ขณะที่ผู้ประกอบการต่างชาติไม่ต้องเสียภาษีมูลค่าเพิ่ม
นอกจากนี้ ภาษี e-Service ยังเป็นการเพิ่มรายได้ทางหนึ่งให้กับประเทศด้วย คาดว่าจะมีรายได้เพิ่มขึ้นไม่ต่ำกว่า 5,000 ล้านบาท ภายในปีงบประมาณ 2565 อีกทั้งยังทำให้มีฐานข้อมูลรายได้ของผู้ให้บริการแพลตฟอร์มต่างชาติที่จะนำไปใช้ในการคำนวณเป็นฐานภาษีใหม่ที่น่าจะเป็นรายได้อีกทางของประเทศในอนาคตด้วย
ด้าน นายเอกนิติ นิติทัณฑ์ประภาศ อธิบดีกรมสรรพากร กล่าวว่า การเสียภาษีมูลค่าเพิ่มของผู้ประกอบการ e-Service จากต่างประเทศที่จดทะเบียนตามกฎกระทรวงนี้ จะมีการชำระภาษีมูลค่าเพิ่มจากฐานการให้บริการแก่ผู้ใช้บริการในประเทศไทยที่ไม่ได้จดทะเบียน VAT
(สำหรับผู้ใช้บริการในไทยที่จดทะเบียน VAT อยู่แล้ว ให้ดำเนินการโดยยื่นแบบและชำระภาษีมูลค่าเพิ่ม ตามแบบ ภ.พ.36 และสามารถนำภาษีมูลค่าเพิ่มตามใบเสร็จรับเงินของกรมสรรพากรมาหักเป็นภาษีซื้อได้เช่นเดิม)
นอกจากนั้น ผู้ประกอบการ e-Service จากต่างประเทศยังไม่มีสิทธิออกใบกำกับภาษี และไม่มีสิทธินำภาษีซื้อมาหักออกจากภาษีขาย
ส่วนประเด็นที่มีผู้เป็นห่วงว่าจะมีการผลักภาระภาษีให้ผู้บริโภคหรือไม่นั้น จากการติดตามข้อมูลการเก็บภาษี e-Service จาก 60 ประเทศ พบว่ามีทั้งการผลักภาระและไม่ผลักภาระภาษีให้ผู้บริโภค
เช่น หากเป็นธุรกิจที่แข่งขันกันสูง บริษัทอาจยอมเสียภาษีเองเพราะกลัวเสียลูกค้า แต่ถ้าธุรกิจรายใหญ่ที่ไม่มีคู่แข่งก็อาจให้ผู้ซื้อ และผู้ใช้บริการเป็นคนเสียภาษีเอง หรือบางรายอาจแบ่งเสียภาษีกันคนละครึ่ง ซึ่งทั้งหมดขึ้นอยู่กับนโยบายของแต่ละบริษัท รวมถึงสภาพการแข่งขันทางธุรกิจ
รายงานข่าวจากกรมสรรพากรระบุว่า จากการสำรวจมีผู้ให้บริการแพลตฟอร์มออนไลน์จากต่างประเทศที่เข้าข่ายต้องเสียภาษีทั้งหมดกว่า 100 ราย และล่าสุดมีแพลตฟอร์มรายใหญ่หลายรายดำเนินการจดทะเบียนภาษีมูลค่าเพิ่มผ่านภาษี e-Service แล้ว
ได้แก่ 1.เครือข่ายสังคมออนไลน์ Facebook, LINE, Twitter 2.เว็บไซต์ให้บริหารค้นหาข้อมูล Google 3.บริการดูหนังออนไลน์และความบันเทิง Netflix, Viu, TikTok, OnlyFans, DISNEY, Twitch, Spotify
4.ผู้ให้บริการด้านการทำงาน Zoom, Amazon, Microsoft, LinkedIn, HubSpot, TeamViewer และ 5.ให้บริการจองโรงแรม AGODA เป็นต้น
ผู้สื่อข่าว “ประชาชาติธุรกิจ” สอบถามไปยังเฟซบุ๊ก ประเทศไทย ได้รับการชี้แจงว่า ที่ผ่านมาเฟซบุ๊กดำเนินการชำระภาษีตามที่แต่ละประเทศกำหนดในทุกประเทศที่เข้าไปดำเนินธุรกิจ
โดยในส่วนของประเทศไทยที่มีการบังคับใช้กฎหมายใหม่ด้านภาษีอีเซอร์วิส ตั้งแต่วันที่ 1 ก.ย.นั้น ทางบริษัทได้ประสานกับทางกรมสรรพากรมาโดยตลอด และมีการสื่อสารไปยังผู้โฆษณาของเฟซบุ๊กแล้วเกี่ยวกับการเปลี่ยนแปลงดังกล่าว
โดยตั้งแต่วันที่ 1 ก.ย.เป็นต้นไป การลงโฆษณาบนเฟซบุ๊กในประเทศไทยจะกำหนดให้มีการชำระภาษีมูลค่าเพิ่ม 7% ซึ่งข้อกำหนดดังกล่าวมีผลบังคับใช้กับผู้โฆษณาที่ระบุว่าประเทศไทยเป็นประเทศปลายทางในบัญชีธุรกิจหรือบัญชีส่วนตัว
ซึ่งผู้โฆษณาไทยที่ได้มีการจดทะเบียนภาษีมูลค่าเพิ่มแล้วจะไม่ถูกเรียกเก็บภาษีมูลค่าเพิ่มจากเฟซบุ๊กอีก แต่ผู้โฆษณาต้องยื่นประเมินและชำระภาษีมูลค่าเพิ่มแก่กรมสรรพากรย้อนหลังเอง
เมื่อสอบถามไปยังผู้ให้บริการแพลตฟอร์มอีคอมเมิร์ซ “ช้อปปี้” ได้คำตอบว่า ช้อปปี้ทำงานร่วมกับหน่วยงานภาครัฐที่มีส่วนเกี่ยวข้องอย่างใกล้ชิดเพื่อให้มั่นใจว่าได้ดำเนินธุรกิจสอดคล้องกับกฎระเบียบ และข้อบังคับของหน่วยงานรัฐ
ด้าน นายอคิรากร อิกิติสิริ ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการใหญ่ ฝ่ายพัฒนาธุรกิจ บริษัท พีซีดับเบิลยู โอทีที (ประเทศไทย) จำกัด ผู้ให้บริการวิดีโอสตรีมมิ่งภายใต้แบรนด์ Viu กล่าวกับ “ประชาชาติธุรกิจ” ว่า
Viu ยังไม่มีนโยบายในการปรับราคาค่าบริการแต่อย่างใด แม้ภาครัฐจะเรียกเก็บภาษีอีเซอร์วิส 7% จากผู้ให้บริการแพลตฟอร์มออนไลน์ต่าง ๆ โดยผู้ใช้บริการของ Viu จะยังจ่ายค่าบริการราคาเดิม
ซึ่งบริษัทรับผิดชอบส่วนนี้ไว้เอง ไม่มีการบวกเพิ่ม 7% เช่น มีการจัดโปรโมชั่นกับค่ายมือถือต่าง ๆ ทั้งทรูและเอไอเอส เมื่อสมัครใช้บริการ Viu พรีเมี่ยมคิดค่าบริการ 119 บาทต่อเดือน ก็ยังเป็นราคาเดิม
หรือลูกค้าบัตร PLANET SCB ที่สมัครบริการ Viu ราคา 69 บาทต่อเดือน(ระยะเวลา 6 เดือน) ก็ยังจ่ายราคาเดิมเช่นกันเนื่องจากมองว่าเป็นราคาที่เหมาะสมกับตลาดในปัจจุบัน อีกทั้งผู้บริโภคยังจดจำราคาดังกล่าวไปแล้วขณะเดียวกันมีแผนจะจัดโปรโมชั่นต่าง ๆ เพื่อให้ลูกค้าสมัครใช้บริการ Viu นานขึ้นด้วย
ผู้สื่อข่าวสอบถามไปผู้ให้บริการวิดีโอออนดีมานด์รายใหญ่ “เน็ตฟลิกซ์” แต่ยังไม่ได้รับคำตอบแต่อย่างใด
นายภวัต เรืองเดชวรชัย ประธานกรรมการ กลุ่มบริษัท มีเดีย อินเทลลิเจนซ์ จํากัด หรือเอ็มไอ กล่าวกับ “ประชาชาติธุรกิจ” ว่า การเก็บภาษีอีเซอร์วิส ไม่ส่งผลกระทบต่อภาพรวมของเอเยนซี่โฆษณาและบริษัทที่ซื้อโฆษณาออนไลน์รายใหญ่
เนื่องจากที่ผ่านมา มีเดียเอเยนซี่เก็บภาษี 7% จากบริษัท หรือแบรนด์ที่ซื้อโฆษณาผ่านเอเยนซี่ส่งให้กรมสรรพากรอยู่แล้วเช่น ถ้าแบรนด์ลงโฆษณาบนเฟซบุ๊กและกูเกิล จำนวน 100 บาท
ก็จะเก็บเพิ่มอีก 7% เป็น 107 บาท โดยเอเยนซี่เก็บส่วนต่างนี้ส่งให้ภาครัฐ โดยคาดว่าอาจส่งผลกระทบต่อผู้ประกอบการรายเล็กและเอสเอ็มอี หรือบรรดาพ่อค้าแม่ค้าออนไลน์ที่ซื้อโฆษณาตรงจากแพลตฟอร์มต่าง ๆ
ทั้งเฟซบุ๊ก, กูเกิล และ TikTok เป็นต้น โดยที่เห็นชัดเจนคือ ประสิทธิภาพการเข้าถึงกลุ่มเป้าหมายลดลง เนื่องจากจำนวนเงินที่ซื้อโฆษณาโดนหัก 7% เพื่อส่งให้รัฐ หากผู้โฆษณาในไทยไม่ได้จดทะเบียนภาษีมูลค่าเพิ่ม
เช่น เดิมเคยซื้อโฆษณา 100 บาทและเข้าถึงกลุ่มลูกค้าได้ทั้งหมดเต็มจำนวนเงิน แต่หลังมีการเก็บภาษีอีเซอร์วิส จำนวนเงินเท่าเดิมจะหักไป 7% เหลือเงินสำหรับการลงโฆษณา 93 บาท ส่งผลให้ประสิทธิภาพการลงโฆษณาหรือการเลือกกลุ่มเป้าหมายลดลง ซึ่งหมายถึงต้นทุนโฆษณาของผู้ประกอบการจะเพิ่มขึ้นด้วย
“เมื่อต้นทุนโฆษณาออนไลน์เพิ่มขึ้น สิ่งที่เกิดขึ้นต่อมาคือ กำไรก็จะลดลง ดังนั้นบางรายอาจเลือกปรับขึ้นราคาสินค้าและบริการ เพื่อลดการหายไปของกำไร หรือบางรายตัดสินใจแบกต้นทุนนี้ไว้เนื่องจากการแข่งขันสูง หากปรับราคาขึ้นอาจส่งผลต่อยอดขายโดยรวม”
อ่านข่าวต้นฉบับ: 61 แพลตฟอร์มดิจิทัลเข้าระบบภาษีอีเซอร์วิส โยนผู้บริโภครับภาระแวต 7%